ประโยชน์ของอะโวคาโด สรรพคุณ และอันตรายที่ควรรู้!
อะโวคาโดคืออะไร? อะโวคาโด คือ ผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีความโดดเด่นเรื่องรสชาติ มีชื่อเรียกในทางวิทยาศาสตร์ว่า Persea americana ส่วนชื่อเรียกทั่วไปคือ Avocado หรือ Alligator pear จัดอยู่ในวงศ์ LAURACEAE ผลจะอุดมไปด้วยไขมันดีในปริมาณสูง มีประโยชน์อย่างมากมาย ซึ่งถือว่าเป็นพืชพื้นเมืองของประเทศเม็กซิโก มีไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุ พร้อมสรรพคุณที่ดีต่อร่างกาย นิยมนำมารับประทานแบบเปล่า ๆ หรือการปรุงเป็นของหวาน ไปจนถึงเมนูของคาว ก็ล้วนช่วยเพิ่มรสชาติ และยังจัดอยู่ในผลไม้เพื่อคนรักสุขภาพอีกด้วย
ส่วนประกอบของอะโวคาโด
ส่วนประกอบของอะโวคาโดแบ่งออกตามลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ดังนี้
- ลำต้น
เป็นไม้เนื้ออ่อน ส่วนของกิ่งค่อนข้างเปราะบาง และมีทรงต้นแตกต่างกันออกไป แต่ที่พบเห็นได้บ่อยลำต้นจะตั้งตรง อวบใหญ่ หรือทรงพุ่มเตี้ย ส่วนของเปลือกขรุขระสีน้ำตาลอ่อน สามารถสูงได้ถึง 18 เมตร - ใบ
เป็นพืชที่มีใบเรียงสลับกันไปตามกิ่งที่แตกออกมา ใบสีเขียวสดรูปทรงยาว เหมือนรูปไข่ ปลายสุดของใบเรียวแหลม ส่วนใบขนาดเล็กจะเรียงตัวกันอยู่หนาแน่นบริเวณกิ่งด้านบนสุด - ดอก
ลักษณะของดอกเป็นแบบช่อ ออกดอกที่ปลายกิ่ง ลักษณะการเติบโตแบบแพนนิเคิล(Panicle) จำนวนดอกมาก และขนาดเล็ก โทนสีเหลืองอมเขียว ส่วนของก้านดอกสั้น มีกลีบรอง 6 กรีบเชื่อมกันที่ส่วนฐานจำนวน 2 วง - ผล
เป็นผลไม้ที่มีความโดดเด่นของผลเป็นอย่างมาก มีลักษณะกลมรี และอาจมีทรงอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ มีทั้งเปลือกหนาและบาง ส่วนเนื้อของอะโวคาโดจะเป็นสีเหลืองอ่อนผสมสีเขียว หากสุกจัดจะออกเป็นสีเหลืองเข้ม รสชาติเหมือนมันเนย มีความละเอียดนุ่ม ไม่มีกลิ่น และมีเมล็ดทรงเกือบกลมอยู่ด้านในตรงกลาง สามารถแกะออกได้ง่าย
ประโยชน์และสรรพคุณของอะโวคาโด
1.ผลของอะโวคาโดมีประโยชน์ อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญ และมีไขมันดีในปริมาณสูง สามารถรับประทานเปล่า ๆ เป็นมื้อว่างแทนขนมที่ให้ความอิ่มและอร่อยได้
2.อะโวคาโดจัดอยู่ในอาหารสุขภาพ สามารถนำมาทำเป็นเมนูขนมหวาน เป็นวัตถุดิบเพิ่มความมัน เช่น เนยอะโวคาโด, นมอะโวคาโด, แยมอะโวคาโด เป็นต้น
3.การรับประทานผลอะโวคาโดอย่างน้อยวันละ 1 ลูก จะช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และช่วยลดไขมันในเลือด โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง
4.เป็นผลไมที่ช่วยลดน้ำหนัก เนื่องจากช่วยให้อิ่มท้องได้นาน มีกากใยอาหารสูง ปริมาณคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลต่ำ
5.เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง แม้ว่าจะไม่มีรสชาติเปรี้ยวเลยก็ตาม ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันภาวะเลือดออกตามไรฟัน และโรคหวัดได้เป็นอย่างดี
6.อะโวคาโดมีน้ำมันในตัว ซึ่งนิยมนำมาสกัดในกระบวนการอุตสาหกรรม ใช้ทำเป็นครีมนวด หรือครีมบำรุงผม ไปจนถึงส่วนผสมในเครื่องสำอาง
7.น้ำมันอะโวคาโดที่ใช้กระบวนการสกัดเย็น นำมารับประทานแบบแคปซูลในรูปแบบซอฟท์เจล ซึ่งจะช่วยบำรุงร่างกาย เพิ่มกรดไขมันดี, โอเมก้า 3 และมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการทำงานของเซลล์ให้แข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้
8.เนื้ออะโวคาโดที่สุกแล้ว สามารถใช้เป็นส่วนผสมนำมาทำเป็นครีมซอสสำหรับปรุงรสพาสต้าหรือสปาเกตตี้ เพิ่มรสชาติมัน และได้ประโยชน์ไปพร้อมกัน
9.เนื้ออะโวคาโดสามารถนำมาบดผสมกับนมให้ละเอียดจนเป็นเนื้อครีม ใช้มาร์กหน้าเพื่อลดความแห้งกร้านของผิว และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
10.น้ำมันที่สกัดได้จากอะโวคาโด มีประโยชน์ในการนำมาทาผิวหนังที่แห้งกร้าน หรือบริเวณที่เป็นขุย มีอาการคัน จะช่วยลดการอักเสบ และช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ผิวที่แห้งและบอบบางได้
11.ช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่าย โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาท้องผูก การรับประทานอะโวคาโด ที่มีกากใยสูง จะช่วยกระตุ้นให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
12.ใช้เนื้ออะโวคาโดบดละเอียดผสมน้ำมันมะกอกหมักผมเหมือนครีมนวด จะช่วยทำให้ผมดกดำ ลดปัญหาผมแห้งและชี้ฟู เพิ่มน้ำหนักให้ผมสวยและเงางาม
อันตรายหรือข้อควรระวังในการกินหรือใช้อะโวคาโด
1.ควรรับประทานอะโวคาโดในปริมาณที่เหมาะสม แม้ว่าจะมีประโยชน์ แต่เป็นผลไม้ที่มีไขมันสูง หายรับเข้าไปมาก ย่อมส่งผลเสียต่อสมดุลของไขมันในร่างกาย
2.ควรระมัดระวังอาการแพ้ในการรับประทานเนื้ออะโวคาโดสด ซึ่งมักเกี่ยวเนื่องกับผู้ที่เคยแพ้ยางธรรมชาติมาก่อน
3.หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรรับประทานอะโวคาโดมากเกินไป เพราะมีปริมาณไขมันสูง อาจมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กในท้อง
4.หลีกเลี่ยงการรับประทานอะโวคาโดในช่วงที่ต้องกินยาวาร์ฟาริน (Warfarin) เพราะจะทำให้ยามีประสิทธิภาพลดลง
5.การทาผิวด้วยอะโวคาโดโดยตรง หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของอะโวคาโดเป็นหลัก ไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 3 เดือน เพราะมีโอกาสเกิดผลข้างเคียง โดยเฉพาะอาการคัน และเสี่ยงต่อการเกิดโรคสะเก็ดเงินได้ หากทาในปริมาณมากเกินไป
ประโยชน์ของอะโวคาโดนั้นมีหลากหลาย เป็นผลไม้ที่มีเอกลักษณ์ทางด้านรสชาติ สามารถนำไปทำเป็นเมนูอาหาร หรือส่วนผสมในเบเกอรี่ ไปจนถึงการใช้เพื่อดูแลรักษาผิวกายภายนอกได้อีกด้วย