
น้ำยาปรับผ้านุ่มคืออะไร มีประโยชน์ ประเภทและอันตรายที่ควรระวังอย่างไรบ้าง?
น้ำยาปรับผ้านุ่ม(Fabric Softener) คือ สารเคมีที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้เป็นหนึ่งในการทำความสะอาดเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มต่าง ๆ เป็นน้ำยาที่มีความหอม และช่วยทำให้ผ้านุ่ม เพิ่มสัมผัสที่ชวนให้รู้สึกถึงความสะอาดและกลิ่นหอมที่ผ่อนคลายเป็นพิเศษ
หากเปรียบเทียบ สิ่งนี้คือครีมนวดของเครื่องนุ่งห่ม หลังผ่านการซักมาแล้ว ซึ่งในต่างประเทศน้ำยาปรับผ้านุ่มจะมีทั้งชนิดน้ำและพัฒนาเป็นชนิดแผ่นขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ แต่ที่นิยมจะเป็นของเหลว ซึ่งมีความเข้มข้น มีหลากหลายสี ใช้ผสมกับน้ำภายหลังการซักผ้า และแช่ทิ้งไว้ก่อนนำขึ้นตาก โดยไม่ต้องล้างน้ำเปล่าซ้ำอีกครั้ง
ต้นกำเนิดของน้ำยาปรับผ้านุ่ม พบว่ามีการนำมาใช้งานในช่วงคริสตวรรษที่ 20 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความหยาบกระด้างของเนื้อผ้าหลังจากขั้นตอนปั่นแห้งในประเทศที่มีอากาศเย็น การปั่นแห้งเป็นที่นิยม เพราะเสื้อผ้าที่ซักจะแห้งช้า จึงจำเป็นต้องใช้ขั้นตอนดังกล่าวช่วย แต่มีผลเสียคือทำให้ผ้าแข็ง สวมใส่ไม่สบายตัว ดังนั้นจึงมีการคิดค้นน้ำยาที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะกอก น้ำสบู่ น้ำมันข้าวโพด และไขมันที่ได้จากสัตว์ เอามาผสมเข้าด้วยกันแบบง่าย ๆ และเพิ่มความหอมด้วยน้ำหอม ช่วยให้รู้สึกว่าผ้าสะอาดขึ้น
จากนั้นก็เริ่มมีการพัฒนาส่วนผสมด้วยสูตรเคมีต่าง ๆ ที่มีผลดีต่อเนื้อผ้า จนกลายเป็นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย และมีคุณสมบัติที่ช่วยดูแลเครื่องนุ่งห่มได้มากขึ้นกว่าสมัยก่อน
ประโยชน์ของน้ำยาปรับผ้านุ่ม
1.ช่วยให้เนื้อผ้ามีความนุ่ม และมีสัมผัสที่ดี เนื่องจากเส้นใยผ้าจะลดความหยาบกระด้าง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องนุ่งห่ม หรือเสื้อผ้าที่สวมใส่ จะทำให้รู้สึกสบายตัว
2.ช่วยลดความเป็นขุยของผ้าขนหนูเมื่อผ่านการซักด้วยเครื่อง เพราะน้ำยาปรับผ้านุ่มจะไปป้องกันไม่ให้ปุยผ้าขนหนูรวมตัวกันเมื่อผ้าแห้ง แต่ช่วยให้ปุยฟูสวย และน่าสัมผัส
3.ในการใช้งานกับผ้าใยสังเคราะห์ จะช่วยลดการเกิดไฟฟ้าสถิตได้อีกทาง เนื่องจากน้ำยาปรับผ้านุ่มนำไฟไฟฟ้าได้ดี จึงช่วยลดการสะสมของไฟฟ้าสถิตบนเนื้อผ้าให้น้อยลงจนเกือบหายไปทั้งหมด
4.น้ำยาปรับผ้านุ่มที่พัฒนามากขึ้นในปัจจุบัน จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดรอยยับได้โดยตรง โดยเฉพาะผ้าฝ้ายที่ตากแห้ง เพราะมีสารหล่อลื่น ทำให้ผ้าไม่พันกัน และรีดเรียบได้ง่าย
5.เป็นตัวช่วยกำจัดคราบได้ดี กรณีที่เสื้อผ้าผ่านการเคลือบด้วยน้ำยาปรับผ้านุ่มมาก่อนหน้านี้ เส้นใยจะถูกป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกฝังเข้าไปที่เนื้อผ้าด้านในโดยตรง แต่จะเกาะอยู่กับน้ำยาปรับผ้านุ่ม เมื่อนำมาซักอีกครั้ง จะทำให้กำจัดสิ่งสกปรกได้ง่าย
6.ช่วยลดการเกิดกลิ่นอับภายในตู้เสื้อผ้าที่ไม่ค่อยมีที่ระบายอากาศ เสื้อผ้าที่ผ่านการแช่น้ำยาปรับผ้านุ่มแล้วจะช่วยรักษากลิ่นที่ดีเอาไว้ และป้องกันกลิ่นอับไม่ให้เข้ามาติดอยู่กับเสื้อผ้าอีกด้วย
7.น้ำยาปรับผ้านุ่มช่วยให้กระจกใสขึ้นอย่างง่ายดาย ด้วยการนำมาผสมละลายกับน้ำเล็กน้อย แล้วใช้ผ้าชุบพอหมาด เช็ดทำความสะอาดกระจกที่ขุ่นมัว จะกำจัดคราบและทำให้กระจกใสเหมือนใหม่
8.สามารถใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มผสมกับน้ำเปล่าเช็ดกำจัดคราบสกปรกตามพื้นบ้าน จะช่วยดูดซับฝุ่นให้หลุดออกได้เป็นอย่างดี
9.สามารถใช้เป็นน้ำยาพ่นไล่ยุงได้ ด้วยการผสมน้ำยาปรับผ้านุ่มกับเบกกิ้งโซดา พ่นไล่ยุงบริเวณซอกมุมต่าง ๆ จะช่วยไม่ให้ไม่อยากเข้าใกล้
10.น้ำยาปรับผ้านุ่มสูตรอ่อนโยนที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ สามารถนำมาใช้เป็นน้ำยาปรับอากาศ ให้บ้านมีกลิ่นหอมที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้ ด้วยการผสมน้ำเปล่า แล้วพ่นในอากาศ หรือใช้ผ้าชุบน้ำยา แล้วเช็ดตามส่วนต่าง ๆ ของบ้าน เพื่อให้กลิ่นหอมกระจายตัวอย่างทั่วถึงได้เช่นกัน
11.ทำหน้าที่กำจัดรอยกาวจากสติกเกอร์ออกอย่างง่ายดาย ด้วยการผสมน้ำเล็กน้อย แล้วใช้สำลีชุบ ขัดลงไปบนจุดนั้นเบา ๆ จะช่วยให้ความเหนียวและรอยจางลงอย่างรวดเร็ว
ข้อควรระวังและอันตรายในการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม
1.การใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มมากจนเกินไป จะทำให้เกิดเป็นคราบเมื่อผ้าแห้งอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นควรผสมในอัตราส่วนที่ฉลากระบุไว้ ให้พอดีกับปริมาณผ้าที่แช่
2.อาจมีผลต่อการทำงานของผลซักฟอก เพราะจะเข้าไปขัดขวางการทำความสะอาดที่ลึกถึงเส้นใย ทำให้สิ่งสกปรกถูกกำจัดออกได้ไม่ดีพอ
3.น้ำยาปรับผ้านุ่มอาจส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองผิวได้ โดยเฉพาะการนำมาใช้แช่ชุดชั้นใน ซึ่งจะสัมผัสกับผิวในส่วนที่บอบบาง
4.การใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มในผ้าสีอ่อน มีผลทำให้ผ้าหมองลง แลดูเก่า เนื่องจากการสะสมของตัวน้ำยาที่เคลือบอยู่บนเส้นใยผ้า
5.การนำน้ำยาปรับผ้านุ่มไปใช้แทนน้ำยาปรับอากาศภายในรถยนต์ เสี่ยงเกิดอันตรายจากสารเคมี จนทำให้หมดสติได้ ไปจนถึงการใช้งานแม้ในปริมาณเล็กน้อย ก็มีผลทำให้เครื่องปรับอากาศในรถยนต์เสียหายตามมา หากใช้ต่อเนื่องกันในระยะยาว
ด้วยความสามารถในการดูแลเส้นใยผ้า ทำให้น้ำยาปรับผ้านุ่มมีประโยชน์อย่างมากมาย จนได้รับความนิยมไปทั่วโลก ทั้งสัมผัสของเครื่องนุ่งห่มที่ดีขึ้น กลิ่นที่ทำให้ผ้าสะอาด และการนำไปประยุกต์ใช้ด้านอื่นร่วมด้วย จึงไม่แปลก หากสิ่งนี้จะกลายเป็นสิ่งจำเป็นในการทำความสะอาดเสื้อผ้าที่ขาดไม่ได้ในยุคนี้