
สายชาร์จคืออะไร มีประโยชน์ ประเภท การเลือกใช้ และอันตรายอะไรบ้าง?
สายชาร์จ(Charging cable) คือ อุปกรณ์เสริมด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับความนิยมในการใช้งานอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน จนเรียกได้ว่าเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันไปแล้วก็ว่าได้ ซึ่งคุณสมบัติของสายชาร์จเปรียบเสมือนสื่อกลางที่เชื่อมต่อระหว่างโทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่ ช่วยเชื่อมต่อกำลังไฟฟ้าเข้ามาเก็บไว้ภายในแบตฯ ที่อยู่ในเครื่อง ให้สามารถใช้งานต่อไปได้ โดยไม่ต้องเสียบสายไฟตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จมือถือ, โน้ตบุค, เครื่องเล่น MP3, พัดลมพกพา, ไฟฉาย เป็นต้น และด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน สายชาร์จมีการใช้งานหลากหลายมากขึ้น และมีประเภทที่แตกต่างกันออกไปพอร์ตที่ใช้งาน
สายชาร์จเส้นแรกของโลกถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1900 ซึ่งมาพร้อมกับระบบการพัฒนาระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้า แม้จะไม่พบว่าใครเป็นผู้คิดค้นเป็นคนแรก เพราะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่พบว่าแนวคิดของการประดิษฐ์สายชาร์จ มาพร้อม ๆ กับการประดิษฐ์แบตเตอรี่พกพา
ในช่วงแรกสายชาร์จเหมือนสายไฟธรรมดา มีหน้าสัมผัสโลหะอยู่ปลายด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อเชื่อมต่อกับแหล่งพลังงาน เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าและอุปกรณ์มีความซับซ้อนมากขึ้น สายชาร์จก็พัฒนาให้มีคุณสมบัติหลากหลาย เช่น การหุ้ม ฉนวน และขั้วต่อประเภทต่าง ๆ ไปจนถึงความเร็วในการชาร์จ
ปัจจุบันมีสายชาร์จหลายประเภท รวมถึงสาย USB, สาย Micro USB, สาย Lightning และสาย USB-C ซึ่งแต่ละประเภทได้รับการออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์ที่ต่างกันตามข้อกำหนดในการชาร์จโดยเฉพาะ
ประโยชน์ของสายชาร์จ
1.ช่วยให้เกิดความสะดวกสบายในการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สามารถชาร์จอุปกรณ์ได้ทุกที่ทุกเวลาในพื้นที่ ๆ มีไฟฟ้า และมีปลั๊กสำหรับเชื่อมต่อ
2.หมดกังวลว่าแบตเตอรี่มือถือจะหมด เพราะสามารถพกสายชาร์จติดตัวไปได้ทุกที่ และใช้งานเชื่อมต่อชาร์จไฟได้ทันทีที่ต้องการ
3.เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น ไม่ต้องพกพาวเวอร์แบงค์(powerbank) ขนาดใหญ่ ๆ ติดกระเป๋าไป เพราะสายชาร์จมีขนาดเล็กกะทัดรัด และน้ำหนักเบา
4.ช่วยให้อุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี่แบบชาร์จใช้ซ้ำได้ สามารถนำกลับมาใช้งานใหม่ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่(battery) ใหม่
5.สามารถนำไปประยุกต์เป็นทั้งตัวเชื่อมต่อกำลังไฟฟ้า และยังใช้ถ่ายโอนข้อมูล หรือคัดลอกข้อมูลจากอุปกรณ์หนึ่งไปยังอุปกรณ์หนึ่งได้ เช่น ระหว่างคอมพิวเตอร์กับมือถือ
6.ช่วยทำให้เกิดความปลอดภัยในการชาร์จมากขึ้น เพราะมีสายยาว ทำให้สามารถวางมือถือเอาไว้ไกลความร้อน ป้องกันความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ หรือระเบิดได้
7.สายชาร์จในปัจจุบันมีความทนทาน และมีฉนวนที่หนา สามารถนำเอามาประยุกต์ใช้เป็นเชือกมัดสิ่งของในยามฉุกเฉินได้ โดยไม่ต้องกลัวขาด
8.สายชาร์จที่ไม่ใช้แล้ว สามารถนำมาใช้เป็นที่ห้อยของ หรือใช้เป็นเชือกมัดได้
9.สามารถนำเอาสายชาร์จเก่าที่พังแล้วมามัดแทนโบว์ผูกของขวัญ ทำให้ดูแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร
10.ช่วยแปลงแรงดันไฟฟ้าให้เหมาะสมเมื่อชาร์จโดยตรงกับไฟบ้าน ป้องกันไม่ให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกิดความเสียหายจากแรงดันที่มากเกินไป

ประเภทและการเลือกใช้งานสายชาร์จ
สายชาร์จถูกออกแบบให้มีหลายประเภทตามลักษณะการใช้งาน โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.สายชาร์จพอร์ต Micro USB
เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยม เหมาะสำหรับการใช้งานกับสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android และ Window Phone ทั่ว ๆ ไป มีการใช้งานอย่างแพร่หลายตั้งแต่ยุคเริ่มต้นที่สมาร์ทโฟนเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คน นอกจากมือถือ ยังใช้ชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพาชนิดอื่นอีกเป็นจำนวนมาก โดยหัวพอร์ตหลักจะต้องเสียบให้ตรงกันเท่านั้นถึงจะใช้งานได้ ส่วนอีกฝั่งจะเป็นหัว USB แบบมาตรฐาน
2.สายชาร์จพอร์ต Type-C
ถือว่าเป็นจุดพัฒนาจากรุ่นแรก ยังคงใช้งานได้กับกลุ่มสมาร์ทโฟนที่เป็นระบบปฏิบัติการ Android โดยพอร์ตหลักจะเป็นหัวที่สามารถเสียบได้แม้หัวจะกลับด้าน ช่วยแก้ปัญหาช่องเสียบมือถือเสียหาย และยังมีความสามารถในการชาร์จได้รวดเร็ว ถ่ายโอนข้อมูลได้ และรองรับเทคโนโลยี Fast Charge เริ่มมีให้เห็นในสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ ซึ่งสิ่งนี้จะเข้ามาแทนที่สายชาร์จ Micro USB ในไม่ช้า
3.สายชาร์จพอร์ต Lightning
ใช้สำหรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเฉพาะรุ่น ซึ่งก็คือกลุ่มสินค้าของ Apple ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad, Macbook เป็นต้น สายชาร์จเหล่านี้จะมีความเร็วอย่างมาก โดยเฉพาะรุ่น USB-C to Lightning ที่เพิ่มแบตฯ 50% ภายใน 30 นาทีเท่านั้น
ทั้งนี้ในท้องตลาดมีสายชาร์จวางจำหน่ายเป็นจำนวนมาก ทั้งของแท้และของลอกเลียนแบบ เพราะฉะนั้นการเลือกใช้งาน ควรเลือกยี่ห้อที่เชื่อถือได้ ซื้อจากแหล่งจำหน่ายโดยตรง เช็คดูความคงทนของสาย และดูเรื่องของการรับประกันเอาไว้ด้วย เพื่อการใช้งานที่คุ้มค่า

การดูแลรักษาและอันตรายที่ควรระวัง
1.เมื่อใช้งานสายชาร์จเสร็จแล้วควรเก็บอย่างถูกวิธี ม้วนอย่างเป็นระเบียบเพื่อป้องกันสายไม่ให้พันกัน
2.หลีกเลี่ยงการชาร์จในตำแหน่งที่ทำให้หัวชาร์จและสายชาร์จหักงอ เพราะหากเกิดขึ้นบ่อย ๆ เสี่ยงที่จะทำให้สายไฟด้านในขาด
3.สายชาร์จที่ไม่มีคุณภาพในท้องตลาด เสี่ยงต่อการเกิดไฟรั่ว เกิดการช๊อตรุนแรง ทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้เลยทีเดียว
4.ไม่เล่นมือถือขณะเสียบชาร์จ เพราะอาจสัมผัสโดนกระแสไฟที่ไหลออกมา เนื่องจากวัสดุที่เป็นโลหะนำไฟฟ้า เสี่ยงต่อการโดนไฟดูดได้
อุปกรณ์เสริมอย่างสายชาร์จที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ถือว่าได้รับความนิยมและมีจำหน่ายเป็นจำนวนมาก มีตั้งแต่ราคาหลักสิบ ไปจนถึงหลักหลายร้อยบาท ดังนั้นหากต้องการซื้อใช้งาน ควรศึกษารายละเอียด เลือกรุ่นที่มีคุณภาพ และใช้งานอย่างระมัดระวัง