
ใบกระท่อมคืออะไร มีประโยชน์ วิธีใช้และอันตรายอะไรบ้าง?
ใบกระท่อม(Mitragyna speciosa) บางครั้งก็ใช้ชื่อทับศัพท์ตรงตัวในภาษาอังกฤษว่า Kratom คือ พืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ Rubiaceae ลักษณะเป็นไม้ยืนต้น จัดอยู่ในตระกูลกาแฟ ถิ่นกำเนิดของกระท่อมอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังพบในประเทศไทย, พม่า, ปาปัวนิวกินี และมาเลเซีย ถูกใช้เป็นยาสมุนไพรมาตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 19 เนื่องจากมีสารประกอบบางอย่างซึ่งหากร่างกายได้รับเข้าไป จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เหนื่อยล้า ด้วยคุณสมบัติที่เรียกว่าโอปีออยด์ (Opioid) และยังถูกใช้ในเชิงนันทนาการ หากใช้ในปริมาณมาก หรือใช้ผสมกับสารอื่น ๆ สามารถเปลี่ยนเป็นยาเสพติดให้โทษได้
ประโยชน์ของใบกระท่อม
1.ใบกระท่อมนิยมใช้หลัก ๆ เพื่อบำรุงร่างกาย เพิ่มกำลังวังชา ให้สามารถทำงานได้นานกว่าเดิม เปรียบเสมือนยาชูกำลัง เมื่อกินเข้าไปแล้วจะรู้สึกมีพลังเพิ่มขึ้น ทนแดดและลม
2.ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ในระดับหนึ่ง โดยการเคี้ยวใบเปล่า ๆ ในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกาย
3.ต้นใบกระท่อมสามารถนำมาช่วยรักษาอากหารท้องเสีย ท้องร่วง หรือถ่ายเหลวได้ ซึ่งใช้งานได้ทั้งการต้มดื่มหรือกินใบสดที่ล้างสะอาดแล้ว สารที่ได้จะมีสรรพคุณช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคภายในลำไส้
4.กระท่อมช่วยลดอาการปวด โดยมีสารที่ชื่อว่า “ไมทราไจนีน” ระงับอาการปวดระดับรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสารที่ได้รับความสนใจและมีความสำคัญ ทำหน้าที่คล้ายมอร์ฟีน แต่ฤทธิ์ไม่แรงเท่า ซึ่งมีผลดีคือช่วยลดผลข้างเคียงที่ตามมาให้น้อยลงไปด้วย
5.ช่วยให้ร่างกายรู้สึกเคลิบเคลิ้ม มีความสุข รู้สึกผ่อนคลาย อาการเจ็บต่าง ๆ เบาบางลงไป
6.ตามตำรับยาแผนโบราณ สามารถช่วยลดอาการปวดฟัน โดยการใช้น้ำต้มใบกระท่อมดื่มเป็นยาสมุนไพร
7.การเคี้ยวส่วนของใบกระท่อมในสัดส่วนที่พอดี ช่วยขัดขวางไม่ให้ร่างกายดูดกลูโคสกลับ มีผลดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่ไม่อันตราย อีกทั้งการลดระดับน้ำตาลนี้ยังไม่ต้องใช้อินซูลินในร่างกายเป็นตัวช่วยอีกด้วย
8.ใช้บรรเทาอาการปวดเบ่งในขณะคลอด ตามแพทย์แผนโบราณจะให้ดื่มน้ำต้มใบกระท่อมเล็กน้อยเพื่อให้คลอดได้ง่ายขึ้น
9.แก้อาการไอเรื้้อรังได้ กรณีที่มีอาการไอเกิน 15 วัน นิยมใช้ใบกระท่อม 1-2 ใบห่อกับน้ำตาลทรายแดงหรืออ้อยแดง และใบกระเพรา มารับประทาน จะกินแบบเพียว ๆ หรือนำไปต้มจิบแทนชาก็ได้ตามสะดวก ซึ่งจะช่วยให้อาการไอทุเลาลง
10.ใช้สำหรับสัตว์เลี้ยงได้ เนื่องจากเป็นยาสมุนไพร กรณีที่หมู, ควาย หรือวัว หากพบว่ามีอาการท้องเสีย สามารถใช้ใบกระท่อมสดผสมอาหารให้กิน ช่วยให้อาการดีขึ้นได้
11.นำใบกระท่อมสดมาตำและพอกไปที่บริเวณแผลถลอกที่ไม่รุนแรง จะช่วยป้องกันการติดเชื้อ ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
12.ทำให้นอนหลับพักผ่อนได้มากขึ้น เหมาะสำหรับคนที่นอนหลับยาก สามารถดื่มน้ำใบกระท่อม หรือเคี้ยวใบกระท่อมจะทำให้นอนหลับได้ง่ายและสนิทตลอดคืนได้
13.ลดอาการขาดยา เป็นเหมือนสมุนไพรช่วยถอนจากภาวะติดยาเสพติด ในหลายประเทศใช้ใบกระท่อมสำหรับผู้ที่ต้องการเลิกยา ทำให้อาการอยากยาลดลง ช่วยเสริมการบำบัดให้ได้ผลดีขึ้น

การออกฤทธิ์ของใบกระท่อม และการกินให้ถูกวิธี
1.การเคี้ยวใบกระท่อมจะใช้เวลาเริ่มออกฤทธิ์ประมาณ 5-10 นาที ด้วยการดูดซึมสารเข้าสู่ร่างกาย
2.การออกฤทธิ์จะมีผลโดยตรงต่อประสาทส่วนกลาง ซึ่งมีผลทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดใส ตื่นตัว ร่าเริง มีกำลังวังชามากขึ้น กล้ามเนื้อทนต่อการทำงานหนักได้ดี
3.สารในใบกระท่อมเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะคงอยู่นานราว 5 ชั่วโมง
4.ควรรับประทานในอัตราส่วนที่เหมาะสม ไม่เกินวันละ 1-2 ใบ โดยการเคี้ยวใบสดหรือนำไปชงเป็นน้ำชา
5.การเคี้ยวใบกระท่อมจะต้องคายเอากากออกมา เพราะร่างกายไม่สามารถย่อยใบและก้านได้ หากกลืนลงไป จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “ถุงท่อม” คือการที่กากใยตกค้างภายในลำไส้ กลายเป็นพังผืดหุ้ม มีผลต่อระบบขับถ่ายและการดูดซึมตามมา
อันตรายจากการใช้ใบกระท่อม
1.หากนำไปใช้เป็นสารเสพติดด้วยการต้มที่เรียกว่า 4×100 จะออกฤทธิ์เหมือนยาบ้า มียากันยุงเป็นส่วนผสม ซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายเมื่อร่างกายได้รับในปริมาณมาก
2.ถ้ารับประทานใบกระท่อมมากเกินไปในแต่ละวัน จะทำให้เกิดภาวะเสพติด รู้สึกหงุดหงิดและปวดตามร่างกาย อ่อนแรง แขนยากระทุก ทำให้รู้สึกขาดไม่ได้
3.หากรับประทานมาก ๆ จะทำให้สีผิวเข้ม ใบหน้าคล้ำขึ้น เนื่องจากภาวะขาดน้ำ
4.เสี่ยงที่จะเกิดอาการท้องผูก เหงื่อออกง่าย และปัสสาวะบ่อย จนทำให้รู้สึกไม่สบายตัว และเกิดภาวะช็อก หมดสติตามมาได้
5.การเสพในปริมาณมาก ๆ สารในใบกระท่อมจะเข้าไปทำลายระบบสมอง เกิดอาการประสาทหลอน หูแว่วตามมาได้
จะเห็นได้ว่าใบกระท่อมมีประโยชน์เป็นอย่างมากในด้านของยา ด้วยสารสำคัญหลายชนิดที่มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำหน้าที่ได้ดีในการช่วยลดอาการเจ็บปวด และบรรเทาอาการด้านจิตใจ อย่างไรก็ตามการใช้ใบกระท่อมให้ปลอดภัยควรได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว ไม่ควรใช้ในปริมาณมาก ๆ เพราะจะทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมาได้แบบไม่ทันระวัง