
สแกมเมอร์ หรือ มิจฉาชีพในโลกออนไลน์ ไม่ได้เลือกเหยื่อแบบสุ่มสี่สุ่มห้า พวกเขามี “กลุ่มเป้าหมาย” (Target Groups) ที่ชัดเจน โดยอาศัยการวิเคราะห์จุดอ่อน, ความต้องการ, หรือช่องโหว่ทางจิตวิทยาของคนกลุ่มนั้นๆ
ความจริงที่น่ากลัวคือ “ทุกคน” มีโอกาสตกเป็นเหยื่อได้หมด แต่สแกมเมอร์จะใช้ “กลยุทธ์” ที่แตกต่างกันไปตามกลุ่มเป้าหมาย การเข้าใจว่าใครคือกลุ่มเสี่ยงและพวกเขาถูกหลอกด้วยวิธีใด คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการป้องกันตัวเองและคนรอบข้าง
บทความนี้จะเจาะลึก 4 กลุ่มเป้าหมายหลักที่สแกมเมอร์ชื่นชอบ พร้อมวิธีป้องกันที่ออกแบบมาเพื่อคนกลุ่มนั้นโดยเฉพาะ
1. กลุ่มผู้สูงอายุ (The Elderly)
นี่คือกลุ่มเป้าหมายคลาสสิกที่มิจฉาชีพทั่วโลกนิยมโจมตีมากที่สุด
- ทำไมถึงตกเป็นเป้า?
- มีเงินเก็บ (Savings): หลายท่านมีเงินออมที่เก็บมาทั้งชีวิต
- ความเกรงกลัว (Fear of Authority): มีความเคารพและเกรงกลัวต่อหน่วยงานรัฐ (ตำรวจ, DSI, ปปง., กรมที่ดิน) เมื่อถูกข่มขู่ว่าจะโดนคดีความ จึงตกใจและทำตามได้ง่าย
- ความไม่คุ้นเคยเทคโนโลยี (Less Tech-Savvy): อาจไม่เข้าใจเรื่องแอปฯ ควบคุมระยะไกล (Remote Apps) หรือการตั้งค่าความปลอดภัยในสมาร์ทโฟน
- ความไว้วางใจ (Trusting): มักจะสุภาพ ไม่กล้าวางสาย หรือเชื่อคนง่ายเมื่อถูกหว่านล้อม
- กลโกงที่พบบ่อย:
- สแกมแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ (Impersonation Scam): โทรมาขู่ว่าพัวพันคดีฟอกเงิน, ยาเสพติด, หรือมีพัสดุผิดกฎหมาย และหลอกให้โอนเงินมาตรวจสอบ
- สแกมหลอกให้รัก (Romance Scam): ชวนคุยผ่าน LINE หรือ Facebook สร้างความสัมพันธ์ แล้วหลอกให้โอนเงิน
- สแกมหลอกให้ติดตั้งแอปฯ: อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ (เช่น กรมสรรพากร) แล้วหลอกให้ติดตั้งแอปฯ .apk เพื่อดูดเงิน
- วิธีการป้องกัน (สำหรับผู้สูงอายุและครอบครัว):
- ครอบครัวต้องพูดคุย: สอนท่านด้วยคำง่ายๆ ว่า “ถ้ามีคนโทรมาขู่เรื่องเงินหรือคดี ให้วางสายทันที” และย้ำว่า “ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐคนไหนแจ้งข้อหาร้ายแรงผ่านโทรศัพท์”
- ซ้อมรับมือ: ลองจำลองสถานการณ์และซักซ้อมการ “วางสาย” เพื่อให้ท่านชิน
- ตั้งค่าโทรศัพท์: บล็อกเบอร์แปลก หรือตั้งค่าให้รับสายเฉพาะเบอร์ที่บันทึกไว้ (หากทำได้)
- อย่าโอนเงินให้ใครที่ไม่เคยเจอหน้า: โดยเฉพาะคนรักในโลกออนไลน์

2. กลุ่มคนรุ่นใหม่ (The Digital Natives – Gen Z)
น่าแปลกใจที่กลุ่มที่เติบโตมากับเทคโนโลยีกลับตกเป็นเหยื่อมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง แต่พวกเขาจะโดนหลอกในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
- ทำไมถึงตกเป็นเป้า?
- ความมั่นใจเกินไป (Overconfidence): คิดว่าตัวเองเก่งเทคโนโลยี รู้ทันโลก จึงประมาทและไม่คิดว่าจะโดนหลอกได้
- ความอยากได้เงินเร็ว (Get Rich Quick): มองหาช่องทางหาเงินง่ายๆ, งานพาร์ทไทม์, หรือการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงและรวดเร็ว
- ชีวิตติดออนไลน์ (Constantly Online): ใช้เวลาในโซเชียลมีเดีย (IG, TikTok, X) ตลอดเวลา ทำให้เห็นโฆษณาหลอกลวงได้ง่าย
- ขาดประสบการณ์ทางการเงิน (Financially Inexperienced): อาจยังไม่เข้าใจความเสี่ยงของการลงทุน หรือกลไกการกู้ยืมที่ซับซ้อน
- กลโกงที่พบบ่อย:
- สแกมงานออนไลน์ (Task Scam): หลอกให้ทำงานง่ายๆ เช่น “กดไลก์”, “ดูยูทูบ”, “รีวิวสินค้า” โดยให้เงินน้อยๆ ก่อนในตอนแรก แล้วค่อยหลอกให้โอนเงิน “ลงทุน” หรือ “จ่ายค่าธรรมเนียม” เพื่อทำงานที่ได้เงินมากขึ้น
- สแกมลงทุน (Investment Scam): ชวนลงทุนใน Crypto, Forex, หรือแพลตฟอร์มปลอม ที่การันตีกำไรสูงลิ่วในเวลาอันสั้น
- สแกมร้านค้าปลอม (Fake Online Stores): ยิงโฆษณาใน IG หรือ TikTok ขายของในราคาถูกกว่าปกติ แต่เมื่อโอนเงินไปแล้วก็ไม่ส่งของ หรือได้ของปลอม
- วิธีการป้องกัน:
- “งานที่ต้องจ่ายเงินก่อน คือ งานหลอกลวง”: จำไว้ว่า “ไม่มีงานไหนในโลกที่ผู้สมัครต้องโอนเงินให้บริษัทก่อน”
- “ไม่มีอะไรดีเกินจริง”: ผลตอบแทนที่การันตีว่าสูงและรวดเร็ว (เช่น 30% ใน 1 วัน) คือการหลอกลวง 100%
- ตรวจสอบร้านค้า: ก่อนซื้อของจากร้านที่ไม่รู้จัก ให้นำชื่อร้านไปค้นหาใน Google เพื่อดูรีวิวหรือประวัติการโกง
3. กลุ่มผู้กำลังมองหาความสัมพันธ์ (The Lonely Hearts)
กลุ่มที่กำลังเหงา, โสด, หรือมีปัญหาความสัมพันธ์ มักมีจุดอ่อนทางอารมณ์ที่สแกมเมอร์ใช้ประโยชน์ได้ง่าย
- ทำไมถึงตกเป็นเป้า?
- ความเปราะบางทางอารมณ์ (Emotionally Vulnerable): ต้องการใครสักคนมารับฟัง ดูแล และเยียวยาจิตใจ
- ความปรารถนา (Desire): อยากมีคนรักหรือคู่ชีวิต ทำให้มองข้ามสัญญาณเตือนภัยต่างๆ
- กลโกงที่พบบ่อย:
- สแกมหลอกให้รัก (Romance Scam): คนร้ายสร้างโปรไฟล์ปลอม (มักใช้รูปทหาร, วิศวกร, หรือนักธุรกิจชาวต่างชาติหน้าตาดี) เข้ามาพูดคุย ตีสนิท สร้างความสัมพันธ์รักลึกซึ้ง (Love Bombing) จนเหยื่อไว้วางใจ จากนั้นจะเริ่ม “สร้างเรื่องฉุกเฉิน” เช่น ป่วยหนัก, เกิดอุบัติเหตุ, ถูกกักตัวที่สนามบิน, หรือมีปัญหาธุรกิจ และขอยืมเงิน
- วิธีการป้องกัน:
- “ห้ามโอนเงินให้คนที่คุณไม่เคยเจอหน้าเด็ดขาด”: ไม่ว่าจะรักเขามากแค่ไหน หรือเรื่องราวของเขาน่าสงสารเพียงใด
- สงสัยเมื่อเขาเลี่ยงการเจอหน้า: หากเขาปฏิเสธที่จะวิดีโอคอล (Video Call) หรือหาข้ออ้างไม่ยอมเจอตัวจริงเสมอ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสแกมเมอร์
- ตรวจสอบรูปภาพ (Reverse Image Search): นำรูปโปรไฟล์ของเขาไปค้นหาใน Google Images เพื่อดูว่าเขาขโมยรูปของคนอื่นมาใช้หรือไม่

4. กลุ่มผู้กำลังหางาน (Job Seekers)
กลุ่มคนที่กำลังว่างงานหรือต้องการรายได้เสริม มักมีความเครียดและความกดดันทางการเงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่สแกมเมอร์ใช้โจมตี
- ทำไมถึงตกเป็นเป้า?
- ความต้องการเงิน (Financial Need): อยู่ในภาวะกดดันที่ต้องรีบหางานหรือหารายได้
- การเปิดเผยข้อมูล (Data Disclosure): ยินดีที่จะกรอกข้อมูลส่วนตัว (เลขบัตรประชาชน, ที่อยู่, เบอร์โทร) ในใบสมัครงานปลอม
- กลโกงที่พบบ่อย:
- สแกมหลอกให้จ่ายค่าธรรมเนียม (Application Fee Scam): อ้างว่ามีตำแหน่งงานที่ดีมากรออยู่ แต่ผู้สมัครต้องจ่าย “ค่าดำเนินการ”, “ค่าตรวจสอบประวัติ” หรือ “ค่าอบรม” ก่อน
- สแกมหลอกเอาข้อมูล (Data Harvesting): สร้างเว็บไซต์สมัครงานปลอมของบริษัทดังๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อไปใช้ในทางที่ผิด (เช่น เปิดบัญชีม้า)
- สแกมหลอกให้ซื้ออุปกรณ์: หลอกว่ารับเข้าทำงานแล้ว แต่ต้องซื้ออุปกรณ์ (เช่น คอมพิวเตอร์) จาก “ผู้ขายที่บริษัทกำหนด” ก่อนเริ่มงาน
- วิธีการป้องกัน:
- บริษัทจริงไม่เรียกเก็บเงิน: บริษัทที่ถูกกฎหมายจะไม่เรียกเก็บเงินใดๆ จากผู้สมัครเพื่อแลกกับตำแหน่งงาน
- ตรวจสอบบริษัท: หากได้รับข้อเสนองาน ให้ตรวจสอบว่าบริษัทนั้นมีตัวตนจริงหรือไม่ ผ่านเว็บไซต์ทางการของบริษัทนั้นโดยตรง (ไม่ใช่ลิงก์ที่เขาส่งมา)
- ระวังการสัมภาษณ์ที่ง่ายเกินไป: เช่น สัมภาษณ์ผ่านแชท LINE หรือ Telegram เท่านั้น และรับเข้าทำงานทันที
บทสรุป: อาวุธสากลในการป้องกันตัว
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในกลุ่มใด อาวุธที่ดีที่สุดในการป้องกันสแกมเมอร์คือ “สติ-สงสัย-ตรวจสอบ”
- สติ: หากรู้สึกว่ากำลังถูกกดดัน, ถูกข่มขู่, หรือได้รับข้อเสนอที่ดีเกินไป ให้หยุดและหายใจลึกๆ
- สงสัย: ตั้งคำถามกับทุกสิ่งที่เข้ามา “ทำไมต้องเป็นเรา?”, “มันจริงหรือ?”
- ตรวจสอบ: วางสายแล้วโทรกลับเบอร์ทางการ, นำชื่อไปค้นหาใน Google, ปรึกษาคนรอบข้างที่ไว้ใจได้ก่อนที่จะ “คลิก” หรือ “โอน”



